มองสุขภาพแบบแพทย์จีน ผ่าน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

Last updated: 23 ธ.ค. 2568  |  140 จำนวนผู้เข้าชม  | 

มองสุขภาพแบบแพทย์จีน ผ่าน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ในยุคปัจจุบันนี้ เทรนการรักษาสุขภาพเป็นที่นิยมแพร่หลายกันมากขึ้น และเข้าใจว่าคนป่วยหลายท่านนั้นก็พยายามที่จะดูแลสุขภาพกันอย่างจริงจัง ทั้งออกกำลังกาย กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ แม้กระทั่งการเพิ่มการพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว แต่ก็ยังกลับพบว่าอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะ จนบางครั้งรู้สึกสับสนและตัดพ้อกับตัวเองว่า “นี่เรายังดูแลไม่ดีพออีกเหรอ” ซึ่งแท้จริงแล้ว สุขภาพอาจไม่ได้เป็นเรื่องของการควบคุมทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ หากแต่เป็นเรื่องของการเข้าใจธรรมชาติของร่างกายและชีวิตของตนเองเสียมากกว่า

โดยการแพทย์แผนจีนมองว่าร่างกายมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรที่ตั้งค่าแล้วจะคงที่ได้ทุกอย่าง หากเป็นระบบที่เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง และตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลาตามแนวคิด “อิน-หยาง” โดยแนวคิดนี้สอดคล้องอย่างลึกซึ้งกับคำสอนของพุทธศาสนาที่กล่าวถึง อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงหลักธรรมทางจิตใจเท่านั้น แต่ยังช่วยอธิบายความเป็นไปของสุขภาพกายใจได้อย่างชัดเจนอีกด้วย

เมื่อใดที่เราเรียนรู้ที่จะมองสุขภาพผ่านกรอบความคิดเช่นนี้ได้นั้น เราจึงสามารถเข้าใจว่าทำไมร่างกายจึงเปลี่ยนแปลง ทำไมจึงเกิดความเจ็บป่วย และเราสามารถดูแลตนเองได้อย่างไรโดยไม่ฝืนธรรมชาติ บทความนี้ผมขอชวนทุกท่านหันมามองสุขภาพในมุมใหม่ ผ่านสายตาของแพทย์แผนจีน โดยใช้หลัก อนิจจัง–ทุกขัง–อนัตตา เป็นสะพานเชื่อมระหว่างกาย ใจ และชีวิตกันครับ

1.อนิจจัง — ร่างกายที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
สุขภาพของคนเรานั้นไม่เคยหยุดนิ่ง เช่นเดียวกับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในมุมมองของพุทธศาสนา ความจริงข้อนี้เรียกว่า “อนิจจัง” หรือความไม่เที่ยง ขณะที่การแพทย์แผนจีนก็มีแนวคิดสอดคล้องกันมาอย่างยาวนาน นั่นคือร่างกายมนุษย์มีระบบของ ชี่ เลือด อิน และหยาง ที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีช่วงใดคงที่อย่างแท้จริง สุขภาพในแต่ละวันจึงขึ้นกับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเวลา อากาศ อาหาร การนอน และอารมณ์ เป็นต้น

และเมื่อคุณเริ่มนอนดึกเพียงแค่คืนเดียว ร่างกายอาจเกิดภาวะ “ชี่พร่อง” มักพบอาการเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย เป็นต้น ถ้าเราเริ่มต้นวันด้วยความตึงเครียดชี่ในตับจะอุดกั้นติดขัด ส่งผลให้เกิดอาการแน่นหน้าอก หงุดหงิดง่าย เป็นต้นหรือในวันที่อากาศชื้น ระบบ กระเพาะและม้าม อาจมีปฏิกิริยาที่ทำให้หลายคนรู้สึกท้องอืด หรือตัวหนักอ่อนเพลีย เป็นต้น ดังนั้นแพทย์แผนจีนมองว่าอาการเหล่านี้ไม่ใช่ “ความผิดปกติ” แต่คือการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายต่อการเปลี่ยนแปลงรอบตัว เมื่อเข้าใจว่าร่างกายไม่จำเป็นต้องคงที่หรือสมบูรณ์แบบอยู่เสมอ เราจะไม่ตื่นตระหนกกับอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่จะมองเห็นว่าร่างกายเพียงกำลังปรับตัวเพื่อรอเข้าสู่สมดุลใหม่ นี่คือการเข้าใจอนิจจังในมิติของสุขภาพครับ

2. ทุกขัง — เมื่อความเปลี่ยนแปลงกลายเป็นความไม่สมดุล
พุทธศาสนากล่าวว่า เมื่อสิ่งไม่เที่ยงถูกยึดถือ นั่นย่อมนำไปสู่ “ทุกข์” ในมุมของการแพทย์แผนจีนทุกข์นี้แสดงออกในรูปของ ภาวะเสียสมดุลของร่างกาย เมื่อความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนั้นรุนแรงเกินไป หรือสะสมต่อเนื่องเป็นเวลานาน ร่างกายอาจรับไม่ไหวและเกิดอาการเจ็บป่วยตามมา

ตัวอย่างที่พบได้บ่อยจนเกิดเป็นลูกโซ่แห่งความเจ็บป่วย เช่น ความเครียดสะสมที่ส่งผลทำให้ ชี่ในตับอุดกั้น จนเกิดอาการปวดศีรษะ อารมณ์แปรปรวน ร่วมกับการกินอาหารไม่เป็นเวลาหรือกินมากเกินไป ม้ามจึงพร่อง ส่งผลให้ท้องอืด หรือง่วงนอนหลังอาหารอีกทั้งยังต้องทำงานหนักจนพักผ่อนไม่เพียงพอที่นำไปสู่ ภาวะไตพร่อง ที่ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลัง นอนไม่หลับ หรือมือเท้าเย็นตามมา แพทย์แผนจีนจึงมองว่าอาการเหล่านี้ไม่ใช่ศัตรูที่ต้องรีบกำจัด แต่เป็น “สัญญาณ” ที่ร่างกายส่งมาบอกว่าระบบภายในกำลังปรับตัวไม่ทันและกำลังก่อความทุกข์จากภายใน

ดังนั้นการดูแลสุขภาพแบบการแพทย์แผนจีนจึงมุ่งเน้นการปรับสมดุลมากกว่าการฝืนแก้ไขที่ไม่เห็นผล เช่น การนอนให้สอดคล้องกับจังหวะ อิน-หยางและฤดูกาล (เช่นพระอาทิตย์ขึ้น-ตก) การเลือกอาหารให้เหมาะกับฤดูกาล การดูแลอารมณ์ หรือการขจัดความเครียด รวมถึงการเสริม ชี่และเลือด เพื่อฟื้นฟูพลังของร่างกาย เมื่อมองความทุกข์เป็นเพียงช่วงหนึ่งของความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ตัวตนทั้งหมดของเรา ใจเราก็จะสงบลง และสามารถดูแลสุขภาพได้อย่างมีสติและเหมาะสมยิ่งขึ้น

3. อนัตตา — ร่างกายไม่ใช่ตัวตนถาวร แต่เป็นกระบวนการของเหตุปัจจัย
ในพุทธศาสนา “อนัตตา” มิได้หมายถึงการปฏิเสธการมีอยู่ของร่างกาย หากแต่ชี้ให้เห็นว่า ร่างกายและสุขภาพไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวตนถาวรหรืออยู่ภายใต้การควบคุมของเราโดยสมบูรณ์ตั้งแต่แรก แนวคิดนี้สอดคล้องอย่างลึกซึ้งกับการแพทย์แผนจีน ที่มองว่ามนุษย์มิได้เป็นหน่วยแยกเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในมุมแพทย์แผนจีนมองว่าร่างกายไม่ใช่ “เจ้าของสุขภาพ” หากเป็นเพียงจุดตัดของเหตุปัจจัยหลายประการ เช่น อากาศ ฤดูกาล เวลา อาหาร อารมณ์ การพักผ่อน หรือสภาพแวดล้อม เป็นต้น ดังนั้นสุขภาพจึงไม่ได้ขึ้นกับความตั้งใจหรือความพยายามของบุคคลเพียงอย่างเดียว   ตัวอย่างเช่น บางวันแม้ดูแลตัวเองอย่างดี แต่กลับรู้สึกอ่อนล้า ใจสั่น หรือเกิดภูมิแพ้ได้ง่ายเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า อาการมิได้เกิดจาก “เรา” เพียงอย่างเดียวแต่เกิดจากกระบวนการของเหตุปัจจัยที่ร่างกายกำลังตอบสนองต่างหาก

เมื่อมองเช่นนี้จึงเห็นได้ว่าร่างกายของเราไม่ได้ “เชื่อฟังคำสั่ง” อย่างที่คาดหวัง แต่ดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติ แพทย์แผนจีนจึงไม่เน้นการบังคับให้ร่างกายกลับสู่สภาพเดิม หากเน้นการปรับตัวให้สอดคล้องกับเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนไป การดูแลสุขภาพจึงเป็นการ “ร่วมมือกับร่างกาย” มากกว่าการควบคุมร่างกาย

ดังนั้นการเข้าใจอนัตตาในมิติของสุขภาพ จึงช่วยลดความยึดมั่นว่าเราต้องแข็งแรงตลอดเวลา หรือไม่มีวันอ่อนแอ เมื่อความยึดมั่นลดลง ใจก็ผ่อนคลาย ความเครียดลดลง และการฟื้นตัวของร่างกายก็จะกลับมาดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สุขภาพจึงมิใช่เป้าหมายที่ต้องครอบครอง แต่เป็นกระบวนการที่ต้องเรียนรู้ อยู่ร่วม และปรับไปพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ก็เท่านั้นเอง

__________________________________________________

บทความโดย
แพทย์จีน ต้นสกุล สังข์ทอง (หมอจีน ซ่ง เซียน เนี่ยน)
宋先念 中医师
TCM. Dr. Tonsakul Sungthong (Song Xian Nian)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้