การตรวจวินิจฉัยโรคด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน
ศาสตร์การแพทย์แผนจีนมีหลักการตรวจวินิจฉัยโรคแบบองค์รวม หมายถึง การนำข้อมูลจากทั้งตัวผู้ป่วยและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มาร่วมพิจารณาหาสาเหตุของโรค โดยหลักการแบบองค์รวมของศาสตร์การแพทย์แผนจีนนั้นจะพิจารณาข้อมูลต่าง ๆ ดังนี้
1. ตรวจสอบอาการเจ็บป่วยทั้งภายในและภายนอก
เมื่อมีภายในย่อมมีภายนอก หมายถึง ภายในร่างกายเกิดพยาธิสภาพ ย่อมจะแสดงออกมาให้เห็นทางภายนอก หรือรู้เฉพาะอาณาบริเวณเล็ก ๆ สามารถทราบทั้งระบบ
2. ตรวจสอบอาการเจ็บป่วยของมนุษย์กับธรรมชาติ
ฤดูกาลและภูมิประเทศที่ต่างกันจะพบโรคเกิดบ่อยหรือความชุกของโรคต่างกัน หรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนอย่างฉับพลัน และการระบาดของโรคล้วนมีอิทธิพลต่อมนุษย์
3. ตรวจสอบอาการเจ็บป่วยของมนุษย์กับสังคม
มักเน้นปัจจัยการเกิดอาการเจ็บป่วยจากภาวะจิตใจ เช่น การแข่งขันที่รุนแรง มีภาวะกดดันจิตใจอย่างหนักหน่วง ล้วนส่งผลให้อัตราการเกิดโรคทางด้านจิตใจมีมากขึ้น
Cr.Photo : geimian.com
การแพทย์แผนจีนมีหลักการตรวจทุกด้านเพื่อหาสาเหตุของอาการโรค หมายถึง การตรวจพื้นฐาน 4 ประการ หรือ ซื่อเจิ่น (四诊) ซึ่งวิธีการตรวจโรคทั้งสี่นี้เป็นการหาข้อมูลในมุมมองที่ต่างกัน ดังนั้นการตรวจโรค 4 ด้าน ของแพทย์แผนจีนจึงไม่อาจทดแทนกันได้ เนื่องจากการตรวจโรคทั้ง 4 ด้าน จะส่งเสริมข้อมูลซึ่งกันและกัน ทำให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม การตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยแต่ละคนนั้น อาการแสดงออกอาจไม่พบจากการตรวจครบ 4 ด้าน ดังนั้น การแยกแยะการเจ็บป่วยจำเป็นต้องจับประเด็นอาการป่วยหลัก ๆ ให้ได้ก่อน
การตรวจวินิจฉัยโรคทางการแพทย์แผนจีน
วิธีตรวจโรคทั้งสี่ ได้แก่
การฟังเสียงและการดมกลิ่น (听诊和闻诊)
การฟังเสียง (听诊)
• เสียงแหบ • การเปล่งเสียง • ลักษณะการพูด • เสียงหอบ • เสียงอาเจียน • เสียงสะอึก
การดมกลิ่น (闻诊)
การถาม (问诊)
การถามประวัติทางการแพทย์จีนแต่โบราณ มีการจัดกลุ่มคำถามซึ่งควรถามผู้ป่วยหรือญาติไว้ 10 หัวข้อ ดังนี้
1. ร้อนและเย็น (หนาวและไข้) 2. เหงื่อ 3. ศีรษะและลำตัว 4. ปัสสาวะและอุจจาระ 5. อาหารการกินและรสชาติ
6. ทรวงอก 7. การนอนหลับและการได้ยิน 8. ความกระหายน้ำ 9. ประวัติเกี่ยวกับการป่วย 10. สาเหตุแห่งการเจ็บป่วย
นอกจากนี้ ในสตรีจะสอบถามประวัติประจำเดือนร่วมด้วย และในเด็กจะสอบถามประวัติการออกผื่น เช่น สุกใส หรือหัด เป็นต้น การซักถามประวัติต่าง ๆ เหล่านี้แพทย์จีนจะทำด้วยความสุภาพ นุ่มนวล และรอบคอบ ความไว้วางใจระหว่างแพทย์และผู้ป่วย เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้แพทย์จีนรับรู้สภาวะของโรคได้อย่างถูกต้องชัดเจน
การตรวจชีพจร (脉诊)
การตรวจชีพจร (พะแมะ) มีประวัติความเป็นมายาวนานหลายพันปีในสาธารณรัฐประชาชนจีน แพทย์จีนใช้การตรวจชีพจรเป็นการวินิจฉัยโรค และใช้หลักการรักษาโรคโดยทดลองใช้กับมนุษย์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อน มีแพทย์จีนที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ชื่อ "เปี่ยนเซฺวี่ย" (扁鹊) เชี่ยวชาญวิธีการวินิจฉัยโรคด้วยการตรวจชีพจร
สมัยจักรพรรดิหวงตี้ (黄帝)
จักรพรรดิหวงตี้ ได้แต่งคัมภีร์เน่ย์จิง (内经)
คัมภีร์เน่ย์จิง (内经) ได้กล่าวถึง "ซานปู้จิ่วโฮ่ว" (三部九候) ว่า ซานปู้ (三部) หมายถึง ตำแหน่งการตรวจชีพจรของมือทั้งสองข้าง แต่ละข้างมีอยู่ 3 ตำแหน่ง คือ ตำแหน่งชุ่น (寸) ตำแหน่งกวน (关) และตำแหน่งฉื่อ (尺) แต่ละตำแหน่งใช้นิ้วกดด้วยแรงหนักเบา 3 แบบ คือ แบบลอย (浮 ฝู) แบบกลาง (中จง) และแบบจม (沉 เฉิน) รวมทั้งสามตำแหน่งจึงมี 9 แบบ เรียกว่า "ซานปู้จิ่วโฮ่ว"
สมัยราชวงศ์ฮั่น "จางจ้งจิ่ง" (张仲景)
สมัยราชวงศ์ฮั่น "จางจ้งจิ่ง" ได้แต่งตำราวินิจฉัยโรค โดยได้สรุปเอาไว้ว่า การวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์แบบ ต้องมี 4 วิธี ประกอบด้วย การมอง (望 ว่าง) การถาม (问 เวิ่น) การดม-ฟัง (闻 เหวิน) การตรวจชีพจรและการคลำ (切诊 เชี่ยเจิ่น)
ต่อมาในสมัยราชวงศ์ซีจิ้น หวางซูเหอ (王叔和) ได้แต่งคัมภีร์ม่ายจิง (脉经) โดยรวบรวมคัมภีร์สมัยก่อนราชวงศ์ฮั่น ได้แก่ คัมภีร์เน่ย์จิง (内经) และคัมภีร์หนานจิง (难经) แต่งโดยจางจ้งจิ่ง และฮัวถวอ (华佗) คัมภีร์ม่ายจิงนี้ ได้แบ่งชีพจรออกเป็น 24 แบบ ซึ่งเป็นคัมภีร์ล่าสุดที่ใช้ในการศึกษาการตรวจชีพจร คัมภีร์นี้ได้แพร่หลายไปทั่วโลก
สมัยราชวงศ์หมิง
หลี่สือเจิน (李时珍) ได้แต่ง คัมภีร์ผิงหูม่ายเสฺวีย (频湖脉学) โดยได้รวบรวมความโดดเด่นของ “ม่ายเสฺวีย (脉学) ตั้งแต่สมัยก่อนราชวงศ์หมิง คัมภีร์นี้มาจากพื้นฐานของคัมภีร์ม่ายจิง ซึ่งมีชีพจร 24 แบบ และได้เพิ่มเติมขึ้นอีก 3 แบบ รวมเป็น 27 แบบ ซึ่งได้แต่งเป็นบทกลอนเพื่อให้ง่ายต่อการท่องจำ ต่อมาแพทย์จีนหลี่ซื่อไฉ (李士材) ได้แต่งตำราเจินเจียเจิ้งเหยี่ยน (诊家正眼) เพิ่มเติมชีพจรแบบ “จี๋ม่าย (疾脉)” ขึ้นอีก 1 แบบ รวมเป็น 28 แบบ ซึ่งยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนั้นยังมีคัมภีร์ม่ายจฺเหวียฮุ่ยเปี้ยน (脉诀汇) ซึ่งแต่งโดยหลี่เอี๋ยนกัง (李延罡) หลังจากนั้นมีแพทย์จีนอีกหลายท่านสนใจศึกษาการตรวจโรคด้วยการตรวจชีพจรเพื่อนำไปใช้วินิจฉัยโรคต่าง ๆ ได้ การตรวจชีพจรต้องผ่านการเรียนรู้และศึกษาขั้นพื้นฐานตามวิธีต่าง ๆ ต้องอาศัยประสาทสัมผัสที่ไวของนิ้ว และต้องฝึกปฏิบัติหาประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งต้องอาศัยการไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน และหมั่นฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะสามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง