โรคหอบหืด Asthma

Last updated: 10 ต.ค. 2566  |  13125 จำนวนผู้เข้าชม  | 

โรคหอบหืด Asthma

โรคหืดเป็นโรคที่พบได้บ่อย  อาการหอบเหนื่อยมีลักษณะเป็น ๆ หาย ๆ เวลาหายใจมีเสียงวี้ด ตามทฤษฏีการแพทย์จีน โรคหืดเป็นผลกระทบจากการรบกวนการทำงานของชี่ของปัจจัยต่าง ๆ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทแกร่ง และ ประเภทพร่อง

สาเหตุและกลไกการเกิดโรค

ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของโรคหืดมีหลากหลาย ทั้งปัจจัยก่อโรคจากภายนอก จนถึงปัจจัยเรื่องความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย โรคหืดที่เกิดจากปัจจัยก่อโรคภายนอกจัดเป็นประเภทแกร่ง ส่วนโรคหืดที่เกิดจากความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายจัดเป็นประเภทพร่อง

1) ประเภทแกร่ง   แบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่

1.1) ชนิดลมเย็น (wind-cold type)  การรุกรานจากปัจจัยประเภทลมเย็น กระทบต่อการไหลเวียนของชี่ปอด ผิวหนังและขน ทำให้รูผิวหนังปิด ชี่ปอดกระจายและไหลลงสู่เบื้องล่างไม่ได้ ทำให้เกิดอาการไอ

1.2) ชนิดเสลดร้อน (phlegm-heat type) เป็นโรคหืดที่เกิดจากม้ามเสียหน้าที่ในการแปรสภาพและการลำเลียง เกิดความชื้นคั่งค้างสะสมกลายเป็นเสลด เสลดเมื่อคั่งค้างอยู่นาน จะแปรสภาพเป็นความร้อน หรือเป็นไฟเกินในปอด ผลาญสารน้ำในปอดให้แห้งกลายเป็นเสมหะ เมื่อเสลดร้อนตกค้างในปอดทำให้ชี่ปอดติดขัดและหน้าที่ของปอดบกพร่อง จึงเกิดอาการของโรคหืด



2) ประเภทพร่อง   แบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่

2.1) ชนิดปอดพร่อง (lung deficiency)  การไอต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้ชี่ปอดถูกทำลายจนอ่อนแอ รวมถึงความตึงเครียดมากเกินไปและการบาดเจ็บภายใน ก็สามารถทำให้ชี่ปอดพร่องได้เช่นกัน ในกรณีเหล่านี้จะเกิดอาการหายใจสั้น และหอบเหนื่อย

2.2) ชนิดไตพร่อง (kidney deficiency)  การทำงานหนักและการหมกมุ่นในเพศสัมพันธ์มากเกินไป ส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของไต การป่วยด้วยโรคที่รุนแรงหรือเรื้อรังทำให้สภาพความต้านทานของร่างกายเสื่อมและทำลายชี่ที่จำเป็น ซึ่งอาจส่งผลต่อชี่ปอดจนเกิดเป็นโรคหืดได้ ในทางกลับ กันการป่วยด้วยโรคหืดต่อเนื่องเป็นเวลานานจะส่งผลกระทบต่อไตได้เช่นกัน



การวินิจฉัยแยกกลุ่มอาการโรค
1) ประเภทแกร่ง
1.1) ชนิดลมเย็น:
ลักษณะทางคลินิก  ไอมีเสมหะน้อย หายใจเร็ว ร่วมกับอาการหนาวสั่น มีไข้ ปวดศีรษะ และไม่มีเหงื่อในระยะแรก ไม่รู้สึกกระหายน้ำ

ลิ้น       เคลือบด้วยฝ้าสีขาว

ชีพจร   ลอยและตึง (Fu Jin Mai 浮紧脉)

วิเคราะห์อาการ: ปอดทำหน้าที่หายใจ และสัมพันธ์ดูแลผิวหนังและขนซึ่งเป็นด่านแรกที่ถูกลมเย็นเข้ากระทำ เมื่อลมเย็นเข้าถึงปอด ทำให้ชี่ปอดติดขัด ไหลเวียนไม่คล่อง จึงเกิดอาการไอ เสมหะน้อย และหายใจเร็ว

ลมเย็นที่กระทำต่อส่วนผิวของร่างกาย ทำให้รูผิวหนังปิด เกิดอาการหนาวสั่น มีไข้ ปวดศีรษะและไม่มีเหงื่อ การไม่รู้สึกกระหายน้ำเนื่องเพราะลมเย็นยังไม่แปรสภาพเป็นความร้อน

ลิ้นมีฝ้าสีขาว ชีพจรลอยและตึง บ่งชี้ว่า ลมเย็นก่อโรคยังจำกัดอยู่ในตำแหน่งที่รุกรานคือปอดและระบบผิวหนัง

1.2) ชนิดเสลดร้อน

ลักษณะทางคลินิก หายใจตื้นและเร็ว เสียงพูดดังกระด้าง ไอมีเสมหะข้นเหลือง รู้สึกแน่นอึดอัดในอก มีไข้ กระสับกระส่าย ปากแห้ง

ลิ้น      เคลือบด้วยฝ้าสีเหลืองหนา หรือเหนียว

ชีพจร   ลื่น และเร็ว (Hua Su Mai  滑数脉)

วิเคราะห์อาการ: เสลดร้อนแปรสภาพมาจากความชื้น หรือเสลดไฟสะสมอยู่ในปอดเป็นเวลานาน เกิดการปิดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้ชี่ปอดเสียหน้าที่ เกิดอาการหายใจตื้นและเร็ว เสียงดังกระด้าง และไอมีเสมหะข้นเหลือง เสลดที่คั่งค้างอยู่ในปอดทำให้รู้สึกแน่น อึดอัดในอก
อาการไข้ กระสับกระส่ายและปากแห้ง เป็นผลมาจากภาวะร้อนไฟ

ฝ้าลิ้นสีเหลือง หนาหรือเหนียว ชีพจรลื่นและเร็ว เป็นอาการแสดงของเสลดร้อน

2) ประเภทพร่อง

2.1) ชนิด ปอดพร่อง
ลักษณะทางคลินิก: หายใจตื้นและเร็ว เสียงพูดเบาอ่อนไม่มีแรง เสียงไอเบา ไม่มีแรงไอ เหงื่อออกง่ายเมื่อออกแรง

ลิ้น       ซีด

ชีพจร   พร่อง (Xu Mai  虚脉)

วิเคราะห์อาการ: ปอดทำหน้าที่ควบคุมชี่ เมื่อชี่ปอดพร่อง การทำหน้าที่ของปอดย่อมเสื่อมพร่องไป ปรากฏอาการหายใจตื้นและเร็ว เสียงพูดอ่อนแรง ไอไม่มีแรง เสียงไอเบา ปอดดูแลและสัมพันธ์กับผิวหนัง เมื่อชี่ปอดพร่องย่อมทำให้ระบบปกป้องของผิวหนังด้อยสภาพ ทำให้เมื่อออกแรงเพียงเล็กน้อยก็มีเหงื่อซึมออก

ลิ้นซีดและชีพจรอ่อนพร่อง เป็นอาการแสดงของชี่ปอดพร่อง

2.2) ชนิด ไตพร่อง

ลักษณะทางคลินิก: หลังจากมีอาการหืดหอบเรื้อรังเป็นเวลานาน จะเกิดอาการเหนื่อยง่ายเมื่อออกแรง เสียงวี้ดรุนแรง เนื้อเยื่อรอบคอบุ๋มเข้าออกตามการหายใจ หายใจตื้น อ่อนล้า เพลีย เหงื่อแตก แขนขาเย็น

ลิ้น       ซีด

ชีพจร   ลึกและเล็กเหมือนเส้นด้าย (Chen Xi Mai  沉细脉)

วิเคราะห์อาการ: เมื่อมีอาการหืดหอบเรื้อรังเป็นเวลานาน เกิดผลกระทบต่อไตซึ่งเป็นแหล่งของชี่ ไตเมื่อเสียหน้าที่จะไม่สามารถรองรับและกักเก็บชี่ไว้ใช้ได้ จึงเกิดอาการเหนื่อยง่ายเมื่อออกแรงเพียงเล็กน้อย เสียงวี้ดรุนแรง และหายใจตื้น ในกรณีเรื้อรังจนเกิดชี่ไตพร่องจะมีอาการอ่อนเพลียและผ่ายผอม หยางของไตพร่องทำให้หยางของระบบปกป้องร่างกายส่วนผิวหนังเสียหน้าที่ เกิดอาการเหงื่อออกง่าย ส่วนอาการแขนขาเย็นเกิดจากชี่หยางพร่องทำให้เสียหน้าที่ในการสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย

ลิ้นซีด ชีพจรลึกและเล็กเหมือนเส้นด้าย เป็นอาการแสดงของหยางไตอ่อนพร่อง



หลักการรักษาโดยวิธีฝังเข็ม

1.1) ชนิดลมเย็น

หลักการ เลือกใช้จุดหลักบนเส้นลมปราณมือไท่อินและเส้นมือหยางหมิง กระตุ้นระบายบางจุด ร่วมกับรมยาเพื่อขจัดลมเย็นและบรรเทาอาการหอบหืด


1.2) ชนิด เสลดร้อน

หลักการ: เลือกใช้จุดหลักบนเส้นลมปราณมือไท่อินและเส้นเท้าหยางหมิง กระตุ้นระบาย เพื่อขจัดเสลด ลดความร้อน และ บรรเทาอาการหอบหืด


2.1) ชนิด ปอดพร่อง

หลักการ: เลือกใช้จุดบนเส้นมือไท่อินปอดและเส้นเท้าหยางหมิงกระเพาะอาหาร กระตุ้นบำรุง หรือรมยา เพื่อเสริมชี่ปอด

นอกจากวิธีการรักษาด้วยการฝังเข็มแล้ว การใช้ยาจีนส่งเสริมการรักษาก็เป็นอีกวิธีที่ได้ผล โดยใช้ตำรับยาที่เหมาะสมกับพยาธิสภาพของอาการ โรค และพยาธิสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย





หมายเหตุ

อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกจุดรักษาตามทฤษฎีปัญจธาตุ ปอดเป็นธาตุทอง (โลหะ) ม้ามและกระเพาะอาหารเป็นธาตุดิน ซึ่งเป็นธาตุแม่ของธาตุทอง ตามหลักการรักษา ‘ลูกพร่องบำรุงแม่’ ในกรณีนี้ ‘ธาตุทองพร่อง’ จึงต้อง ‘บำรุงธาตุดิน’ จึงเลือกกระตุ้นบำรุงหรือรมยา จุดธาตุดิน 3 จุด ได้แก่ TaiYuan (LU9), ZuSanLi (ST36) และ TaiBai (SP3) โดย TaiYuan (LU9) เป็นจุดปฐมภูมิ (Yuan-Primary) และ เป็นจุดซู-ลำธาร (Shu-Stream) ซึ่งเป็นจุดธาตุดินของเส้นมือไท่อินปอด การเลือกกระตุ้นบำรุงจุดนี้จึงมีประโยชน์มากในการบำรุงปอด ZuSanLi (ST36) เป็นจุดเหอ-ทะเล (He-Sea) เป็นจุดธาตุดินของเส้นเท้ากระเพาะอาหารซึ่งเป็นเส้นลมปราณหยางธาตุดิน TaiBai (SP3) เป็นจุดปฐมภูมิ (Yuan-Primary) และจุดซู-ลำธาร (Shu-Stream) เป็นจุดธาตุดินของเส้นเท้าไท่อินม้ามซึ่งเป็นเส้นลมปราณอินธาตุดิน

อาการหอบหืดชนิดปอดพร่อง มักพบในกลุ่มโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD: chronic obstructive pulmonary disease) ชนิดถุงลมโป่งพอง (emphysema type) และการกระตุ้นบำรุงหรือรมยาจุดทั้งสาม (ร่วมกับจุดอื่นตามหลักการวิเคราะห์โรค) สามารถช่วยฟื้นฟูสภาพและบรรเทาอาการจากโรคได้ดีมากระดับหนึ่ง


2.2) ชนิด ไตพร่อง

หลักการ: ใช้จุดหลักบนเส้นเท้าเส้าอินไตและเส้นลมปราณเญิ่น กระตุ้นบำรุง หรือรมยา เพื่อเสริมบำรุงหน้าที่ของไตในการรองรับและกักเก็บชี่


หมายเหตุ
ภาวะหอบหืดในการแพทย์จีนนอกจากโรคหืด (bronchial asthma) แล้ว อาจพิจารณารวมไปถึงกลุ่มโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) และอาการหอบหืดที่เกี่ยวเนื่องกับโรคอื่น ๆ ด้วย อย่างไรก็ตามหากมีอาการรุนแรง ควรพิจารณาใช้การรักษาร่วมกันทั้งแผนจีนและแผนตะวันตกตามความเหมาะสม

 







 
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม

ฝังเข็มเจ็บไหม อันตรายหรือไม่

การรมยาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน

ฝังเข็มรักษาโรคได้อย่างไร ?


ข้อมูลประกอบบทความ  : การฝังเข็มรมยา เล่ม 2
การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้