ไขข้อข้องใจทำไมผู้หญิงหลังหมดประจำเดือนถึงมีอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะเล็ด และปัสสาวะบ่อย

Last updated: 27 ส.ค. 2568  |  30 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ไขข้อข้องใจทำไมผู้หญิงหลังหมดประจำเดือนถึงมีอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะเล็ด และปัสสาวะบ่อย

เคยสงสัยไหมว่าทำไมผู้หญิงหลายคนในวัยหลังหมดประจำเดือนถึงมีปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะ? ไม่ว่าจะเป็นอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย หรือแม้แต่ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ในบางรายอาจพบว่ามีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะได้บ่อยอีกด้วย อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นในกลุ่มผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ซึ่งถูกเรียกรวมกันว่า กลุ่มอาการในระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ของสตรีวัยหมดระดู (Genitourinary Syndrome of Menopause: GSM) [1] โดยทั่วไปจะพบในผู้หญิงอายุระหว่าง 40-55 ปี นอกจากวัยหมดประจำเดือนตามธรรมชาติแล้ว ภาวะเอสโตรเจนต่ำจากสาเหตุอื่นๆ ก็ทำให้เกิด GSM ได้ เช่น การผ่าตัดรังไข่ทั้งสองข้าง หรือการใช้ยาบางชนิดที่มีกลไกการออกฤทธิ์เป็นยาต้านฮอร์โมนเอสโตรเจน 

โดยสาเหตุหลักของอาการผิดปกติเหล่านี้มาจากการที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายลดลงอย่างมากหลังวัยหมดประจำเดือน การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเยื่อบุช่องคลอดและท่อปัสสาวะ ทำให้เนื้อเยื่อและเส้นเลือดบริเวณรอบกระเพาะปัสสาวะฝ่อเหี่ยว เยื่อบุผิวทางเดินปัสสาวะบางลง รวมถึงยังส่งผลให้ช่องคลอดแห้งและสั้นลง สร้างน้ำหล่อเลี้ยงได้น้อยลงอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้การควบคุมปัสสาวะมีประสิทธิภาพลดลง ส่งผลให้มีอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะเล็ด หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนยังทำให้ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ในช่องคลอดสูงขึ้น และสภาพแวดล้อมของจุลินทรีย์ในช่องคลอดเปลี่ยนไป ทำให้แบคทีเรียกลุ่มแลคโตบาซิลลัสลดลง และแบคทีเรียอีโคไลมีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะง่ายขึ้น[2]

ในมุมมองของการแพทย์แผนจีน กลุ่มอาการในระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ของสตรีวัยหมดระดู (GSM) มีชื่อเรียกว่า “หลินเจิ้ง(淋证)” “อี๋เนี่ยว(遗溺)” โดยมีตำแหน่งหลักของโรคอยู่ที่ไต และยังมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับกระเพาะปัสสาวะ และม้าม

GSM มีสาเหตุและกลไกการเกิดโรคที่ค่อนข้างซับซ้อน โดยมีภาวะไตพร่องเป็นสาเหตุหลักของโรค ตามทฤษฎีกล่าวว่า เมื่อสตรีมีอายุประมาณ 49 ปี พลังชี่ของไตจะเสื่อมลง และเทียนกุ่ย (天癸, สารจำเป็นในไตที่สัมพันธ์กับการเจริญพันธุ์) จะหมดลง ส่งผลให้เส้นลมปราณเญิ่นและเส้นลมปราณชง (เส้นลมปราณที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์) พร่อง นำไปสู่ภาวะเลือดและสารจิง (精, สารสำคัญของร่างกาย) พร่อง รวมถึงมีภาวะอินและหยางไตพร่องร่วมด้วย ส่งผลให้ไม่สามารถหล่อเลี้ยงและให้ความอบอุ่นแก่อวัยวะภายในต่างๆได้ จึงเกิดเป็นอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะเล็ด หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกต่างๆยังส่งผลกระทบได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการรับประทานอาการที่ไม่เหมาะสม ทำให้ม้ามอ่อนแอและเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย  ความเครียดหรืออารมณ์ที่แปรปรวน ส่งผลให้ชี่ของตับติดขัด หากมีการติดขัดของชี่หรือความชื้นสะสมเป็นเวลานานจะทำให้เกิดความร้อนขึ้น เมื่อความร้อนเคลื่อนตัวลงสู่เบื้องล่างและกระทบต่อการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ จึงทำให้เกิดอาการปัสสาวะผิดปกติได้

การฝังเข็มรักษา GSM จะเน้นที่การเสริมบำรุงม้ามและไต อบอุ่นหยางของไต ระบายชี่ตับ และปรับสมดุลการทำงานของกระเพาะปัสสาวะเป็นหลัก โดยเลือกใช้เส้นลมปราณของอวัยวะที่เป็นตำแหน่งหลักของโรค (เช่น เส้นลมปราณม้าม ไต และกระเพาะปัสสาวะ) และเส้นลมปราณที่มีเส้นทางไหลเวียนผ่านบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินปัสสาวะโดยตรง (เช่น เส้นลมปราณเญิ่น และตู)  

จุดฝังเข็มที่ใช้บ่อยในการรักษา GSM



การฝังเข็มรักษา GSM ได้อย่างไร 

1. บำรุงม้ามและไต อบอุ่นหยางของไต ช่วยให้กระเพาะปัสสาวะกักเก็บน้ำปัสสาวะได้ดีขึ้น บรรเทาอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกลั้นไม่อยู่

2. ระบายชี่ตับ ขับความร้อนชื้น บรรเทาอาการปัสสาวะบ่อย และปัสสาวะแสบขัด

3. ปรับการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ ช่วยให้อาการปัสสาวะผิดปกติดีขึ้น

4. ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้กลับมาแข็งแรง ทำให้อาการปัสสาวะเล็ดและกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ลดลง 

5. ช่วยปรับการทำงานของ Hypothalamic-pituitary-ovarian (HPO) axis และปรับสมดุลระดับฮอร์โมนในสตรีวัยหมดประจำเดือน 

เมื่อเข้าสู่วัยหลังหมดประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ จากมุมมองของแพทย์แผนจีน อายุที่มากขึ้นส่งผลให้ชี่ของไตอ่อนแอลง เกิดภาวะไตและม้ามพร่อง การทำงานของกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ ทำให้มีอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะเล็ด หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้ การฝังเข็มช่วยบำรุงม้ามและไต ปรับสมดุลการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งช่วยให้อาการปัสสาวะผิดปกติต่างๆเหล่านี้ดีขึ้นได้ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพที่ชัดเจน ผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษาด้วยการฝังเข็มสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 2-4 เดือน ทั้งนี้ ผลและระยะเวลาการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค และสภาพร่างกายของผู้ป่วย รวมถึงการปรับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเองด้วยเช่นกัน 


เอกสารอ้างอิง

[1]  พญ.อภิชญา เตชะตา. Genitourinary syndrome of menopause[EB/OL]. (2020-01) ค้นวันที่ 15 สิงหาคม 2568. จาก: https://w1.med.cmu.ac.th/obgyn/lecturestopics/topic-review/6642/

[2]  Carlson K, Nguyen H. Genitourinary Syndrome of Menopause[EB/OL]. (2024-10-05) ค้นวันที่ 15 สิงหาคม 2568. จาก: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK559297/

___________________________________________

บทความโดย
แพทย์จีน ณภัทร คงศิริธุวงศ์ (หมอจีนสวี่ กุ้ย หัว) 
许桂华  中医师
TCM. Dr. Napat Kongsirituwong (Xu Gui Hua) 

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้