Last updated: 17 ก.ย. 2568 | 13 จำนวนผู้เข้าชม |
เมื่อพูดถึง "โรคมะเร็ง" ก็จะนึกถึงการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันเช่นการผ่าตัด เคมีบำบัด หรือการฉายรังสี ซึ่งเป็นวิธีการรักษาสากลที่มีประสิทธิผลชัดเจน แต่ในขณะเดียวกัน ศาสตร์การแพทย์แผนจีนที่มีประวัติยาวนานในการรักษามานับพันปี เข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะ “ผู้ช่วยมือสำคัญ” ที่ทำงานร่วมกับการรักษาหลัก เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย และช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการรักษา ในประเทศจีนใช้ศาสตร์การแพทย์แผนจีนผสมผสานในการรักษาโรคมะเร็งใช้กันอย่างแพร่หลายและอย่างยาวนาน ในปัจจุบันประเทศไทยเองประชาชนเริ่มให้ความสนใจ และไว้วางใจเลือกการแพทย์แผนจีนมาช่วยดูแลสุขภาพ ลดผลข้างเคียงขณะรักษา ฟื้นฟูร่างกาย และประคับครองร่างกายผู้ป่วยในระหว่างการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและร่างกายที่แข็งแรงเตรียมพร้อมในการรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบัน
ในมุมมองของศาสตร์การแพทย์แผนจีนไม่ได้มอง “มะเร็ง” เป็นแค่ “ก้อนเนื้อ” แต่มองว่าเป็นเพียงภาพสะท้อนของ “ความไม่สมดุล”ทั่วร่างกาย จุดเริ่มต้นของการเกิดก้อนเนื้อหรือมะเร็งนั้น เป็นผลลัพธ์ของสภาวะสุขภาพร่างกาย ที่เสียสมดุลอย่างรุนแรงและเรื้อรังยาวนาน ประหนึ่งคล้ายกับระบบนิเวศของร่างกายที่กำลังล่มสลาย แนวคิดนี้สอดคล้องกับมุมมองทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ที่มองว่าเป็นผลจากการปรับตัวของเซลล์มะเร็งต่อสภาวะแวดล้อมของเซลล์มะเร็ง (tumor microenvironment) ได้แก่ ระดับของออกซิเจน ชนิดและปริมาณของ growth factors และ cytokines การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของ extracellular matrix และสภาพไร้การยึดเกาะของเซลล์ (loss of cell attachment) ซึ่งสภาวะพร่องออกซิเจนยังกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งมีความสามารถในการแพร่กระจายและการดื้อยา (drug resistance) เพิ่มมากขึ้นได้อีกด้วย ในทางการแพทย์แผนจีนมองว่า ร่างกายมนุษย์และธรรมศาสตร์เป็นหนึ่งเดียวกัน (天人合一) ต่างมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้สภาวะแวดล้อมในร่างกายเสียสมดุลได้ ก็มีทั้งปัจจัยจากภายนอก เช่น ลม ความเย็น ความร้อน ความชื้น และสารพิษ รวมทั้งปัจจัยจากภายในร่างกาย เช่น อารมณ์แปรปรวนผิดปกติ พฤติกรรมการใช้ชีวิต ทำงานเหน็ดเหนื่อยเกินไป และการรับประทานอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดสภาวะร่างกายหลักๆ ดังนี้
1.เจิ้งชี่อ่อนแอ (正气亏虚) ซงเจิ้งชี่เปรียบเสมือนระบบภูมิคุ้มกัน (Immune System) ของร่างกาย เมื่อเจิ้งชี่ของร่างกายอ่อนแอลง ไม่สามารถกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติได้อย่างทันท่วงที สิ่งแปลกแปลมจึงแอบแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายและไม่ถูกขจัดออก จึงก่อเกิดเป็นก้อนได้
2.เสมหะความชื้นและพิษก่อตัวสะสมในร่างกาย (痰湿毒内蕴) ซึ่งเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เช่น อาหารประเภทของทอด ของมัน ส่งผลให้ม้ามอ่อนแอ เกิดเสมหะความชื้นก่อตัวสะสมอยู่ภายในร่างกาย หรือการอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีปัญหามลภาวะทางอากาศเป็นระยะเวลานาน ทำให้ร่างกายเกิดภาวะอักเสบเรื้อรัง มีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น ในทางการแพทย์แผนจีนมองว่าทำให้มีความชื้นและพิษก่อตัวสะสมอยู่ภายใน และก่อเกิดเป็นก้อนได้
3.ชี่ติดขัดเลือดคั่ง (气滞血瘀) เกิดจากภาวะความเครียดสะสม ทำให้การไหลเวียนชี่และเลือดติดขัด ยิ่งส่งผลให้ของเสียต่างๆ เสมหะความชื้นและพิษคั่งค้างภายในร่างกายมากขึ้น สะสมก่อตัวในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกาย ส่งผลให้ก่อตัวเป็นก้อนเนื้อขึ้นได้ ซึ่งเมื่อการไหลเวียนของชี่ติดขัด ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดี ทำให้การขนส่งออกซิเจนไปยังเซลล์ต่างๆ ลดลง ส่งผลให้เซลล์ได้รับสารอาหารและพลังงานไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงทำให้เซลล์เกิดสภาวะขาดออกซิเจนได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะแก่การเกิดมะเร็งได้ง่าย
หัวใจในการรักษาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน
หัวใจในการรักษาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีนไม่ใช่เพียงแต่การสลายก้อนเท่านั้น แต่เป็นการปรับสมดุลทั้งระบบร่างกาย ผ่านหลักการเสริมเจิ้งชี่และขจัดปัจจัยก่อโรค (扶正祛邪) การออกฤทธิ์ของสมุนไพรจีนจึงไม่จำกัดเพียงเป้าหมายเดียว (Single-target) เหมือนกับยาเคมีบำบัดหรือยามุ่งเป้า แต่เป็นการออกฤทธิ์แบบหลายเป้าหมาย (Multi-target) เพื่อปรับสมดุลทั้งร่างกาย ซึ่งสมุนไพรจีนที่แพทย์จีนใช้ในการรักษา ถือเป็นสารพฤกษเคมี (Phytonutrients) ที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพหลากหลายรูปแบบ เช่น ต้านออกซิเดชั่น ทำลายฤทธิ์อนุมูลอิสระ ลดความเสียหายให้กับดีเอ็นเอ ช่วยเพิ่มภูมิต้านโรคและควบคุมการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายได้ นอกจากนี้ยาเคมีบำบัดบางชนิดดั้งเดิมมีที่มาจากพืชบางชนิด หรือถูกสังเคราะห์ปรับปรุงโครงสร้างทางเคมีของสมุนไพรเพื่อให้ออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น การออกฤทธิ์ค่อนข้างแรง และตรงเป้าหมาย แต่ผลข้างเคียงก็มักจะมากตามไปด้วยเช่นกัน
ในการรักษาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน เน้นใช้สมุนไพรจีนโดยวินิจฉัยจากสภาพร่างกายของผู้ป่วย อาการแสดงและการดำเนินของโรคตามแต่ละบุคคลเพื่อเลือกวิธีการรักษาแบบเฉพาะบุคคล โดยมีหลักการรักษาดังนี้
1.เสริมบำรุงเจิ้งชี่ (扶正) เช่น หวงฉี (黄芪) หลิงจือ (灵芝) ตั่งเซิน (党参) เป็นต้น ช่วยเสริมบำรุงชี่และเลือด เสริมการทำงานของม้ามและปอด ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ในงานวิจัยพบว่า สารออกฤทธิ์ในสมุนไพรเหล่านี้ สามารถกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวหลายชนิด เช่น T-cells, NK cells และ Macrophages ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยจู่โจมด่านหน้าของร่างกายในการค้นหาและทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง การบำรุง “เจิ้งชี่” สามารถช่วยให้ผู้ป่วยทนต่อผลข้างเคียงของคีโมในการรักษาโรคมะเร็งและ ช่วยในการฟื้นตัวของร่างกายได้ดีขึ้น
2.ขจัดปัจจัยก่อโรค (祛邪) คือการใช้ยาสมุนไพรจีนที่มีสรรพคุณช่วยสลายเสมหะ ขจัดความชื้น สลายก้อน ปรับการหมุนเวียนชี่และเลือด ระบายร้อนและขับพิษ เช่น อวี้จิน (郁金) ไป๋ฮวาเสอเสอเฉ่า (白花蛇舌草) ตันเซิน (丹参) ไฉหู (柴胡) เหลยกงเถิง (雷公藤) เป็นต้น จากงานวิจัยพบว่า สมุนไพรจีนเหล่านี้มีสารออกฤทธิ์ในสมุนไพรหลายอย่างที่น่าสนใจ เช่น การส่งเสริมให้เกิดตายของเซลล์มะเร็ง (Promoting Apoptosis) ยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ (Anti-angiogenesis) และปรับสภาพแวดล้อมเพื่อช่วยลดสภาวะอักเสบในร่างกาย ทั้งยังพบว่ามีสารต้านการอักเสบ (Anti-inflammation) ซึ่งเป็นผลจากการเป็นมะเร็ง
ศาสตร์การแพทย์แผนจีนในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกเสริม แต่เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งเป็นวิธีหลัก ที่สามารถผสานตลอดการรักษากับแผนปัจจุบัน เพื่อช่วยส่งเสริมประสิทธิผลในการรักษา ลดผลข้างเคียง และมุ่งเน้นดูแลผู้ป่วยในช่วงเวลาที่สำคัญ เช่น ขณะทำเคมีบำบัด ฉายรังสี หรือช่วงที่รับยามุ่งเป้า ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาทองในการรักษาแบบบูรณาการ ดังนั้นการรักษาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีนยาสมุนไพรจีนตำรับเฉพาะบุคคลที่จ่ายโดยแพทย์แผนจีนเฉพาะทาง ช่วยลดผลข้างเคียงจากการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ส่งเสริมประสิทธิผลในการรักษา เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้น เช่น ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน บรรเทาอาการอ่อนเพลีย ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ลดการเกิดภาวะไขกระดูกถูกกดทับการทำงาน บรรเทาอาการเจ็บปวด ชาปลายมือปลายเท้า และแผลในปากได้ อีกทั้งหลังสิ้นสุดการรักษาแล้วยังช่วยฟื้นฟูร่างกายของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง เสริมภูมิคุ้มกันร่างกายให้กลับมาแข็งแรง จนกระทั่งป้องการการกลับมาเป็นซ้ำหรือลดอัตราการแพร่กระจายได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ศาสตร์การแพทย์แผนจีนไม่มี “ยาวิเศษ” ใดในการรักษาโรคมะเร็ง การดูแลรักษาผู้ป่วยจึงควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ที่มีใบประกอบโรคศิลปะ และมีความรู้ในการรักษาโรคมะเร็ง การรักษาจะได้ผลดีที่สุด เมื่อมีวางแผนในการรักษาอย่างรอบคอบ การดูแลรักษาที่ต่อเนื่อง และความร่วมมือของผู้ป่วย
เอกสารอ้างอิง : Li, S., Chen, X., Shi, H. et al. Tailoring traditional Chinese medicine in cancer therapy. Molecular Cancer. 2025;24:27. doi:10.1186/s12943-024-02213-6
___________________________________________
แพทย์จีนอาวุโส อรกช มหาดิลกรัตน์ (หมอจีน ไช่ เพ่ย หลิง)
蔡佩玲 中医师
TCM. Dr. Orakoch Mahadilokrat (Cai Pei Ling)
17 ก.ย. 2568
8 ก.ย. 2568