Last updated: 2 ต.ค. 2568 | 63 จำนวนผู้เข้าชม |
ในปัจจุบันผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น รวมไปถึงเรื่องของการบำรุงผิวพรรณด้วยวิธีการทางธรรมชาติ ซึ่งการกวาซา(刮痧)นั้นจัดเป็นการรักษาและส่งเสริมสุขภาพและผิวพรรณที่ปลอดภัยด้วยวิธีการทางธรรมชาติ การกวาซาถูกบันทึกอย่างเป็นทางการในตำราการแพทย์แผนจีนสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1386-1644) และถือเป็นศาสตร์การบำบัดที่เก่าแก่ที่สุดของการแพทย์แผนจีน นอกจากใช้เพื่อการบำบัดรักษาโรคแล้ว ปัจจุบันการกวาซายังได้รับความนิยมในการบำรุงผิวพรรณเป็นอย่างมาก
การกวาซาบนใบหน้า เป็นวิธีการรักษาและปรนนิบัติผิวตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน โดยการนำวัสดุโค้งมน เรียบลื่นมาขูดเบาๆ บริเวณผิวหน้าตามเส้นลมปราณ เพื่อช่วยในการขจัดของเสีย เพิ่มการไหลเวียนของชี่ เลือดและน้ำเหลือง กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อมัดต่างๆ กระตุ้นจุดลมปราณต่างๆ รวมถึงช่วยในการขนส่งสารอาหาร เร่งการเผาผลาญของเซลล์ ปรับสมดุลน้ำ น้ำมัน ใต้ผิวหนัง และรักษาความยืดหยุ่นของเส้นใยใต้ผิวหนัง
หลายคนมักสงสัยว่า วัสดุที่เหมาะสมจริงๆในการนำมากวาซาหน้าคืออะไร? วัสดุแบบนี้ใช้ได้ไหม? ใช้อันไหนถึงจะดีที่สุด?แล้วผลลัพธ์ที่ออกมาจะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร? วันนี้เรามาทำความรู้จักกับหินหรือวัสดุชนิดต่างๆที่ใช้ในการทำกวาซาใบหน้ากันค่ะ
หลักการการกวาซาใบหน้า คือ เกิดจาก การกด และ แรงนวด ของน้ำหนักมือที่สม่ำเสมอ นุ่มนวล รวมถึงท่าทางการนวดที่ถูกต้องเพื่อช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนและระบายของเสีย มากกว่าการเลือกวัสดุของหิน ซึ่งหินที่นำมาใช้แต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างในเรื่องของคุณสมบัติ ประโยชน์ทางกายภาย รวมไปถึงในเชิงของความรู้สึกและความเชื่อ โดยหินที่นิยมนำมากวาซาใบหน้า ได้แก่ หยก (玉) , หินเปียน (砭石) , โรสควอตซ์ (Rose Quartz) และ อเมทิส (Amethyst) เป็นต้น
1.หยก (玉)
แผ่นกวาซาหยกเป็นอุปกรณ์กวาซาที่ทำจากหยกธรรมชาติ ซึ่งผสมผสานระหว่างการบำบัดด้วยการขูดกวาซาแบบดั้งเดิมเข้ากับคุณสมบัติของหยก มีสรรพคุณหลักในการช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตเฉพาะที่ บรรเทาอาการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ และปรับสมดุลชี่ (气) ในเส้นลมปราณ ขณะเดียวกัน ความเย็นตามธรรมชาติของหยกยังช่วยบรรเทาอาการอักเสบของผิวหนังหรืออาการไข้ได้ เหมาะสำหรับการดูแลสุขภาพและผ่อนคลายทั้งใบหน้าและร่างกาย
1. ประโยชน์ทางกายภาพ
การนวด: การกวาซาด้วยแผ่นหยกจะช่วยกระตุ้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังอย่างอ่อนโยน ส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตเฉพาะที่ และเร่งการขับของเสียจากกระบวนการเผาผลาญ ช่วยบรรเทาอาการกล้ามเนื้อตึงหรือปวดเมื่อย พื้นผิวที่เรียบเนียนของหยกให้แรงเสียดทานที่พอเหมาะ ช่วยป้องกันผิวหนังบาดเจ็บ และมีน้ำหนักที่พอดีในการนำมากวาซา ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการนวดและกระตุ้นจุดเส้นลมปราณได้
2. คุณสมบัติพิเศษของหยก
ความเย็นตามธรรมชาติ: หยกมีคุณสมบัติเย็นตามธรรมชาติ สามารถช่วยลดอุณหภูมิผิวหนัง บรรเทาอาการอักเสบของผิวหนังหรืออาการร้อนได้ (เช่น สิว หรือใบหน้าแดง) แพทย์แผนจีนเชื่อว่าหยกสามารถ "เปิดเส้นลมปราณและกระตุ้นการไหลเวียนของชี่และเลือด" การใช้หยกกวาซาเป็นประจำจึงอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการกวาซาได้
3. การปรับสมดุลร่างกาย
กระตุ้นจุดฝังเข็ม: การกวาซาด้วยแผ่นหยกจะช่วยกระตุ้นจุดฝังเข็มและเส้นลมปราณ ปรับการไหลเวียนของชี่และเลือดให้สมดุล บรรเทาอาการตึงบริเวณไหล่และคอ บรรเทาอาการปวดศีรษะ และบรรเทาความเหนื่อยล้า เนื้อหยกที่นุ่มนวลยังช่วยลดความระคายเคืองระหว่างการขูดกวาซาบริเวณผิวหน้า จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผู้ที่เพิ่งเริ่มหัดทำ
4. การปรนนิบัตรผิวหน้า
การดูแลผิวหน้า: การใช้หยกกวาซาบนใบหน้าสามารถช่วยยกกระชับผิว ส่งเสริมการดูดซึมผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และช่วยลดอาการบวมหรือผิวหมองคล้ำ ความเย็นของหยกยังช่วยกระชับรูขุมขนและบรรเทาอาการบวมน้ำได้
นอกจากนี้ในเชิงความเชื่อ “หยก” (玉) ในวัฒนธรรมจีนถือเป็นสัญลักษณ์ของ คุณธรรม ความงาม ความมั่งคั่ง และการคุ้มครอง ในตำราจีนโบราณเชื่อว่าหยกช่วย “ปรับสมดุลชี่ (气)” และมีความเชื่อว่า หยกเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ สุขภาพดี อายุยืน ปัดเป่าเคราะห์ร้ายและสิ่งไม่ดีให้ออกไป
การใช้แผ่นกวาซาหยก
1. ส่วนที่สามารถใช้งานได้
- ลำตัว: บริเวณไหล่ คอ หลัง และแขนขา ใช้เพื่อบรรเทาอาการกล้ามเนื้อเมื่อยล้าหรืออาการตึงแข็ง หรือหลังจากที่ร่างกายโดนความเย็นหรือความร้อน
- ใบหน้า: บริเวณหน้าผาก แก้ม และแนวกราม ใช้ร่วมกับน้ำมันหอมระเหยหรือโลชั่นเพื่อช่วยยกกระชับและนวดผิว
2. เทคนิคการใช้งาน
-มุมที่ใช้: ควบคุมมุมของแผ่นกวาซาให้อยู่ระหว่าง 15-45 องศา และขูดไปในทิศทางเดียวด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการขูดไปมา
-แรงที่ใช้: สำหรับลำตัวสามารถออกแรงได้เล็กน้อย แต่สำหรับใบหน้าควรทำอย่างเบามือ ให้ผิวมีสีแดงระเรื่อๆ และรู้สึกอุ่น
-การดูแล: ก่อนใช้สามารถนำแผ่นหยกไปแช่ในน้ำอุ่นหรือน้ำเย็นเพื่อเพิ่มความรู้สึกสบายให้กับผิว หลังใช้ควรทำความสะอาดและเช็ดให้แห้งก่อนเก็บรักษา
ข้อควรระวัง
1. ข้อห้ามสำหรับ ผู้ที่มีผิวหนังเสียหายหรือมีแผล ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ ผู้ป่วยโรคหัวใจขั้นรุนแรง หรือผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ ไม่ควรทำกวาซา
สตรีมีครรภ์ ควรหลีกเลี่ยง การขูดกัวซาบริเวณเอวและหน้าท้อง
2. ไม่ควรขูดกวาซาในบริเวณเดิม เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นที่มากเกินไป
3. การดูแลรักษาหยกควรระมัดระวัง ไม่ให้หยกกระแทก หรือโดนแสงแดดที่มีอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน
ควรทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำเปล่าเพื่อรักษาความสะอาด
2.หินเปียน (Bian Stone)
หินเปียน (砭石) ถือเป็นเครื่องมือบำบัดแบบแพทย์แผนจีนดั้งเดิม ที่มีการอ้างอิงมาในประวัติศาสตร์จีนตั้งแต่ในสมัยโบราณ นอกจากนี้หินเปียนยังเป็นหินที่ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์หวงตี้เน่ยจิง <<黄帝内经>> และเสินหนงเปิ่นเฉ่าจิง <<神农本草经>> บรรยายถึงคุณสมบัติทางยาของหินเปียนและวิธีการนำไปใช้ในศาสตร์การแพทย์แผนจีน
"หินเปียน" (砭石) เป็นหินที่เกิดจากการทับถมจากการระเบิดของภูเขาไฟทำให้มีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ตั้งแต่ในสมัยโบราณหินเปียนถูกนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับการแพทย์แผนจีน ส่วนใหญ่มักจะนำมาใช้ในการทำแผ่นกวาซา ควบคู่ไปกับการทำฝังเข็ม หินเปียนประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ ที่หลากหลาย เมื่อนำมาขูดบนผิวหนังจะสามารถปล่อยรังสีอินฟราเรดและคลื่นอัลตราโซนิกขนาดเล็กออกมา ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเนื้อเยื่อภายในร่างกายได้ ทำให้เกิดผลในด้านความร้อนและการปรับสมดุลกระแสไฟฟ้าชีวภาพ
ประโยชน์ของการกวาซาด้วยหินเปียน
1. ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิตเฉพาะที่: การขูดบนผิวหนังจะทำให้หลอดเลือดฝอยขยายตัว ความเร็วในการไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้น ช่วยบรรเทาอาการกล้ามเนื้อแข็งตึง อาการปวดไหล่และคอและบรรเทาความเหนื่อยล้าได้
2. ปรับสมดุลระบบประสาท: การกระตุ้นปลายประสาทบนผิวหนังจะส่งผลสะท้อนกลับไปเพื่อปรับการทำงานของอวัยวะภายใน ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย
3. ขับสารพิษและบำรุงผิวพรรณ: การกวาซาด้วยหินเปียน ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของน้ำเหลืองและการขับเหงื่อ ช่วยขับของเสียจากกระบวนการเผาผลาญ ช่วยลดความหมองคล้ำและอาการบวมของใบหน้าได้
4. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: การทำกวาซาในระดับที่พอเหมาะและทำอย่างสม่ำเสมอสามารถกระตุ้นความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองของร่างกาย และช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้นได้
การดูแลสุขภาพประจำวัน
การใช้หินเปียนสามารถใช้เพื่อดูแลสุขภาพประจำวันได้ เหมาะสำหรับผู้ที่นั่งทำงานนาน ๆ และมีอาการปวดเมื่อยหลังและเอว สามารถใช้ขูดบนเส้นลมปราณกระเพาะปัสสาวะและเส้นลมปราณตูม่าย (督脉) เพื่อคลายกล้ามเนื้อและลดอาการปวดตึง
การบำบัดฟื้นฟูอาการเจ็บป่วย
-อาการหวัด: ในระยะเริ่มต้นของอาการหวัด สามารถขูดที่จุดต้าจุย (大椎穴) และจุดเฟิงฉือ (风池穴) เพื่อช่วยขับไล่ความเย็นออกจากร่างกาย
-อาการไม่สบายท้อง: สามารถขูดที่บริเวณหน้าท้องและจุดจู๋ซานหลี่ (足三里) เพื่อช่วยบรรเทาอาการเกี่ยวกับม้ามและกระเพาะอาหาร
-การดูแลผิวหน้า: การขูดกวาซาควรทำอย่างเบามือ สามารถช่วยยกกระชับผิว ลดอาการบวมน้ำ และลดเลือนริ้วรอยได้
คำแนะนำในการใช้หินเปียน
1. ข้อปฏิบัติในการใช้งาน
แรงที่ใช้ : ควรขูดด้วยแรงที่สม่ำเสมอและพอเหมาะ ให้ผิวหนังมีสีแดงระเรื่อ
ระยะเวลา: ไม่ควรขูดติดต่อกันเกิน 15 นาทีต่อครั้ง
2. ข้อควรระวังและผู้ที่ไม่ควรใช้
ผู้ที่ห้ามใช้ : ควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ, มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง, สตรีมีครรภ์ และผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ
ช่วงเวลาที่ห้ามใช้ : ไม่ควรทำกวาซาหลังดื่มแอลกอฮอล์, ขณะท้องว่าง หรือหลังรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ
3. การดูแลหลังทำกวาซา
ข้อควรปฏิบัติ : ควรหลีกเลี่ยงการโดนลมหรือสัมผัสกับน้ำเย็นภายใน 4 ชั่วโมงหลังการทำกวาซา
การฟื้นฟู: ควรดื่มน้ำอุ่นเพื่อช่วยส่งเสริมกระบวนการเผาผลาญ
3.โรสควอตซ์ (Rose Quartz)
โรสควอตซ์มีลักษณะเป็นหินสีชมพู มีคุณสมบัติเย็น น้ำหนักเบา นุ่มนวล มีคุณสมบัติช่วยปลอบประโลมผิว ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผิว ช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางและระคายเคืองง่าย
ในเชิงความเชื่อ หินโรสควอตซ์มักถูกเชื่อมโยงกับ “ความรักและการปลอบประโลมจิตใจ” ช่วยคลายกังวล ทำให้จิตใจสงบ และใช้เป็นหินที่เสริมระบบการไหลเวียนเลือดและการนอนหลับที่ดีขึ้น
4.อเมทิส (Amethyst)
อเมทิสเป็นแร่ควอตซ์สีม่วง มีความสวยงาม มีความแข็งและมีน้ำหนักพอสมควร สามารถใช้ทั้งบริเวณผิวหน้าและลำตัวได้ มีความเย็น ช่วยปลอบประโลมและทำให้รู้สึกสบายผิว
ในเชิงความเชื่อ อเมทิส มีคุณสมบัติช่วยเรื่องการลดอาการปวด บรรเทาความเครียด การเสริมสร้างสมาธิ ทำให้จิตใจสงบ นอกจากนี้ยังเป็นหินแห่งความสงบ ช่วยปรับสมดุลอารมณ์ และส่งเสริมการนอนหลับให้ดีขึ้น
จากข้างต้นจะเห็นได้ว่า หินแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันในด้านลักษณะกายภาพ คุณสมบัติและความเชื่อ การกักเก็บความเย็นหรือความอุ่นในแต่ละชนิดของหิน น้ำหนัก เนื้อสัมผัส และความแตกต่างทางด้านคุณสมบัติ โดยรวมแล้วผลลัพธ์นั้นไม่มีความแตกต่างกันมากนัก เราสามารถเลือกใช้หินให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลได้ตามต้องการ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การเลือกหินที่นำมาใช้กวาซานั้น หินต้องเรียบมน ไม่มีความแหลม ไม่มีรอยแตก รอยร้าว หรือความคมที่หิน เพื่อป้องกันการบาดเจ็บหรือการระคายเคืองที่อาจจะเกิดขึ้นได้
อ้างอิง
https://baike.baidu.com/item/%E7%A0%AD%E7%9F%B3%E5%88%AE%E7%97%A7%E6%9D%BF/2629444
https://health.baidu.com/m/detail/ar_5865027090041291510
https://www.stone9.in.th/categorycontent/77/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99
_______________________________________________________
บทความโดย
แพทย์จีน รัญชนา ตั้งมั่นเจริญสุข (ซุน หลี)
孙梨 中医师
TCM. Dr. Runchana Tangmancharoensuk (Sun Li)
3 ต.ค. 2568