Last updated: 3 พ.ย. 2568 | 27 จำนวนผู้เข้าชม |
โคลิคในทารก (Infantile Colic) เป็นภาวะที่พบบ่อยในเด็กเล็กช่วงอายุ 2 สัปดาห์ – 4 เดือน โดยมีลักษณะเด่นคือการร้องไห้หรืองอแงมากผิดปกติ แม้เด็กจะมีสุขภาพร่างกายทั่วไปปกติและตรวจไม่พบโรคที่ชัดเจน ภาวะนี้มักสร้างความกังวลใจให้กับผู้ปกครอง แม้ว่าโดยทั่วไปจะไม่เป็นอันตรายและมักหายไปได้เองเมื่อเด็กอายุประมาณ 3–4 เดือน ในทางการแพทย์ปัจจุบัน นิยามโคลิคมักอ้างอิงจากเกณฑ์ Rule of 3 คือ
- เด็กร้องไห้นานเกิน 3 ชั่วโมงต่อวัน
- อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์
- ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 สัปดาห์ขึ้นไป
เด็กที่มีอาการโคลิคมักไม่ตอบสนองต่อการปลอบโยนง่าย ๆ และมีพฤติกรรมร้องกวนที่ทำให้ผู้เลี้ยงดูเกิดความเครียดสูง
สาเหตุ
แม้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีสมมติฐานที่อธิบายได้หลายประการ ได้แก่
1. ระบบทางเดินอาหารยังไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวของลำไส้ไม่สม่ำเสมอ ทำให้เกิดแก๊สและอาการเกร็ง
2. การกลืนอากาศมากเกินไป ระหว่างการดูดนม
3. ภาวะแพ้หรือไม่ทนต่อโปรตีนในนมวัวหรือน้ำตาลแลคโตส
4. ความไม่สมดุลของระบบประสาทและการควบคุมอารมณ์ ทำให้ทารกจัดการกับสิ่งกระตุ้นรอบตัวได้ยาก
5. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและครอบครัว เช่น ความเครียดของผู้ปกครองที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็ก
อาการทางคลินิก
1. เด็กร้องเสียงดัง หงุดหงิด ไม่สงบง่าย
2. มักเกิดในช่วงเย็นจนถึงกลางคืน
3. หน้าแดง กำมือแน่น หรือยกขางอเข้าท้อง
4. หลังให้นมอาจร้องกวนมากขึ้น
5. น้ำหนักและพัฒนาการโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ
แนวทางการดูแลรักษา
1. การปลอบโยนและดูแลทั่วไป
- อุ้มปลอบ ห่อตัว เปิดเสียง white noise หรือเพลงเบา ๆ
- อาบน้ำอุ่น นวดท้องเบา ๆ หรือทำท่าปั่นจักรยานเพื่อช่วยไล่ลม
2. การปรับการให้นม
- ตรวจสอบท่าดูดนมให้ถูกต้อง
- ช่วยให้เด็กเรอหลังการดูดนมทุกครั้ง
- มารดาที่ให้นมบุตรอาจปรับอาหาร โดยลดนมวัว คาเฟอีน หรืออาหารก่อแก๊ส
3. การใช้นมสูตรพิเศษ
- ในบางรายอาจแนะนำให้ใช้นมสูตรโปรตีนย่อยง่าย (hydrolyzed formula) หรือสูตรปลอดแลคโตส
4. การใช้ยา
- โดยทั่วไปไม่แนะนำให้ใช้ยา ยกเว้นบางกรณี เช่น simethicone ช่วยลดอาการท้องอืด แต่ประสิทธิภาพยังจำกัด
5. การให้ความรู้ผู้ปกครอง
- อธิบายว่าภาวะนี้เป็นอาการชั่วคราวและไม่เป็นอันตราย
- สนับสนุนการดูแลสุขภาพจิตใจของพ่อแม่เพื่อลดความเครียดในครอบครัว
โคลิคในเด็กเป็นภาวะที่ ไม่เป็นอันตรายร้ายแรง ส่วนใหญ่จะหายไปเองเมื่อเด็กอายุ 3–4 เดือน และไม่ทิ้งผลเสียต่อสุขภาพระยะยาว การดูแลที่เหมาะสมจะช่วยบรรเทาอาการ และที่สำคัญคือช่วยลดความกังวลของผู้ปกครองได้
โคลิคในเด็ก (婴儿肠绞痛) มุมมองของการแพทย์แผนจีน
ในทฤษฎีการแพทย์แผนจีน ร่างกายเด็กถือว่าเป็น “หยางที่ยังไม่เต็มอินที่ยังไม่มั่นคง” หมายถึงระบบอวัยวะและการทำงานยังไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะม้ามและกระเพาะอาหาร ซึ่งทำหน้าที่ย่อยและย่อยลำเลียงอาหาร
ทารกที่มีสุขภาพโดยรวมปกติแต่ร้องไห้งอแงรุนแรงโดยเฉพาะเวลากลางคืน มักมาพร้อมกับอาการท้องอืด แน่นท้อง ดูดนมไม่สบาย หรือหลับไม่สนิท แพทย์แผนจีนมองว่าเข้าข่ายอาการ 婴儿肠绞痛 (อาการโคลิคในเด็ก) ซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลของม้ามและกระเพาะ และการไหลเวียนชี่ภายในลำไส้ไม่คล่องตัว
สาเหตุและกลไกการเกิดโรค (病因病机)
1. 乳食不节 (อาหารไม่เหมาะสม)
- ทารกได้รับนมมากเกินไป หรือย่อยไม่หมด ทำให้เกิดการสะสมอาหาร ส่งผลให้ท้องอืด แน่น เจ็บ
2. 脾胃虚弱 (ม้ามและกระเพาะพร่อง)
- ทารกแรกเกิดม้ามและกระเพาะยังอ่อนแอ ย่อยอาหารได้ไม่ดี ทำให้เกิดการตกค้างของอาหารและภาวะชี่ติดขัดในลำไส้
3. 寒邪内侵 (ความเย็นรุกภายใน)
- ได้รับความเย็นจากอาหารหรือสิ่งแวดล้อม ทำให้การไหลเวียนของชี่และเลือดติดขัด เกิดอาการปวดเกร็ง
4. 热盛伤津 (ความร้อนเกินภายใน)
- เด็กที่มีภาวะความร้อนในร่างกายสูง ทำให้ชี่ติดขัดร่วมกับความร้อน มีอาการร้องโยเย
แนวทางการดูแลรักษาตามการแพทย์แผนจีน
1. นวดทุยหนาเด็ก
摩腹 นวดท้อง
วิธีปฏิบัติ: ให้ทารกนอนหงาย จากนั้นใช้อุ้งมือหรือปลายนิ้วนวด วนรอบหน้าท้องตามเข็มนาฬิกาอย่างอ่อนโยน ต่อเนื่องประมาณ 3–5 นาที
สรรพคุณ: ช่วยให้ลมในท้องคลายตัว เร่งการบีบตัวของลำไส้ และลดอาการท้องอืดหรือกรดค้างในทารก
推脾经 นวดบำรุงเส้นลมปราณม้าม
วิธีปฏิบัติ: ใช้ปลายนิ้ว (เช่น นิ้วโป้ง) ในลักษณะผลักแบบตรงจากปลายนิ้วไปยังโคน เช่น จากปลายนิ้วโป้งไล่ไปยังฝ่ามือด้านฐานนิ้ว
สรรพคุณ: ช่วยปรับสมดุลการย่อยและเสริมการทำงานของระบบม้าม–กระเพาะอาหาร เพิ่มการงับอาหารและลดอาการท้องเสียหรือปัญหาทางเดินอาหาร

揉脐 นวดวนรอบสะดือ
วิธีปฏิบัติ: ใช้ปลายนิ้วกลางหรือปลายนิ้วนางหมุนวนรอบสะดืออย่างเบาๆ เป็นวงกลม ประมาณ 5 นาที
สรรพคุณ: กระตุ้นลำไส้โดยตรง ช่วยลดอาการปวดท้อง บิดท้อง หรือท้องอืดในเด็ก
เคล็ดลับสำคัญในการนวดเด็ก
1. เลือกเวลาที่เหมาะสม: หลีกเลี่ยงการนวดหลังให้นมทันที ควรรออย่างน้อย 30 นาที
2. มืออุ่นและอ่อนโยน: ให้มือผู้ปฏิบัตินวดอบอุ่น และใช้แรงน้อย สังเกตอาการของเด็ก หากร้องไห้หรือไม่สบายควรหยุดทันที
3. ระยะเวลาที่เหมาะสม: ไม่ควรนวดนานเกิน 10–15 นาทีในแต่ละครั้ง
4. ภายใต้คำแนะนำผู้เชี่ยวชาญ: แนะนำให้ผู้ปฏิบัติได้รับการฝึกหรือมีพื้นฐานจากแพทย์แผนจีนเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด
2. สมุนไพรจีน
- เลือกตามการแยกอาการ เช่น 保和丸, 小儿化滞丸, 理中丸, 导赤散 ฯลฯ ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์แผนจีน เพราะเด็กเล็กต้องใช้ขนาดยาอย่างระมัดระวัง
3. การปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม
- ไม่ควรให้นมมากเกินไปในคราวเดียว
- เลี่ยงอาหารก่อแก๊สหรือนมวัว (ถ้าเด็กแพ้)
- รักษาอุณหภูมิห้องให้อบอุ่น ไม่ให้เด็กโดนลมเย็น
- ทำกิจกรรมสงบก่อนนอน เช่น โอบอุ้ม, ห่อตัวเบาๆ
อ้างอิง
Johnson, J. D., Cocker, K., & Chang, E. (2015). Infantile colic: Recognition and treatment. American Family Physician, 92(7), 577–582.
Banks, J. B. (2023). Infantile Colic. In StatPearls.
Ellwood, J., et al. (2020). Comparison of common interventions for the treatment of infantile colic. BMJ Open.
Bao, Y. (2021). Tuina and moxibustion in pediatric abdominal pain. Journal of Chinese Medicine Pediatrics, 15(3), 145–150.
Chen, J., & Xu, H. (2019). Pediatric tuina therapy for infantile colic: A clinical observation. Journal of Traditional Chinese Medicine, 39(4), 512–518.
Li, X. (2018). Clinical pediatrics of TCM (中医儿科临床学). Nanjing University Press.
Shanghai University of Traditional Chinese Medicine. (2017). Zhongyi jichu lilun (中医基础理论) [Basic theories of TCM]. Shanghai Science and Technology Press.
Wang, C., & Liu, H. (2016). Zhongyi erke xue (中医儿科学) [TCM pediatrics]. Beijing: China Traditional Chinese Medicine Press.
____________________________________________
บทความโดย
แพทย์จีน กัญธิมา วุฒิ (กาน ตี๋ หม่า)
甘迪玛 中医师
TCM. Dr. Kanthima Wutthi (Gan Di Ma)
23 พ.ค. 2568
23 ม.ค. 2568
7 ต.ค. 2568
7 ต.ค. 2568