Last updated: 23 ก.ย. 2568 | 131 จำนวนผู้เข้าชม |
โรคหลอดเลือดสมอง(Stroke)ที่ส่งผลต่อระบบการมองเห็นมักเกิดจากภาวะขาดเลือดหรือเลือดออกในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับทางเดินของประสาทตา โดยตำแหน่งของสมองที่ขาดเลือดจะกำหนดลักษณะของการสูญเสียการมองเห็น เช่นการขาดเลือดบริเวณ Primary visual cortex (Occipital lobe) ทำให้สูญเสียการมองเห็นซีกเดียว หรือ สองข้าง หากเนื้อสมองเสียหายทั้งสองข้าง หรือในกรณีที่เกิดบริเวณTemporal lobe อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นมุมบนของลานตาด้านตรงข้ามกับส่วนสมองที่เสียหาย หากบริเวณที่เสียหายเกิดที่Parietal lobeอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นมุมล่างของลานตาด้านตรงข้ามได้เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้วการสูญเสียการมองเห็นในโรคหลอดเลือดสมองมักจะมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น การทรงตัวลำบาก หรือแขนขาอ่อนแรง ขึ้นอยู่กับบริเวณเนื้อสมองที่เสียหาย
การมองเห็นและการสูญเสียการมองเห็นจากโรคหลอดเลือดสมองในมุมมองการแพทย์แผนจีน
ในทางการแพทย์แผนจีนมองว่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากความไม่สมดุลของพลังชี่ เลือดและสารน้ำของร่างกายส่งผลให้เกิดลมภายในขึ้นก่อกวนและอุดกลั้นทวารสมอง เป็นสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดสมองโดยอาจทำให้เกิดอาการต่างๆเช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา ความคิดความจำถดถอยลง หรือ สูญเสียการมองเห็นได้
ทางแพทย์แผนจีนการมองเห็นเกี่ยวข้องกับอวัยวะ ตับเป็นหลัก เนื่องจากตับมีทวารเปิดไปยังดวงตา และเป็นอวัยวะที่เก็บและควบคุมชี่และเลือดซึ่งจำเป็นต่อการหล่อเลี้ยงและการทำงานของดวงตาเพื่อการมองเห็นที่คมชัดและจำแนกสีต่างๆได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ไต และ ม้าม ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหล่อเลี้ยงดวงตาเช่นกัน โดยไตจะมีสารจิงซึ่งเป็นรากฐานของพลังชีวิตที่มีตั้งแต่กำเนิดซึ่งสารจิงจากไตจะถูกส่งไปหล่อเลี้ยงดวงตาซึ่งจะช่วยให้การมองเห็นเป็นปกติ ม้ามคอยดูดซึมสารอาหารต่างๆเพื่อสร้างเลือดและให้ส่งต่อสารอาหารแก่ดวงตา ทั้งสามอวัยวะทำงานร่วมกันเพื่อให้การมองเห็นเป็นปกติ หากอวัยใดอวัยวะหนึ่งขาดสมดุล ทำให้การทำงนบกพร่อง อาจทำให้เกิดการมองเห็นลดลงได้
โดยสารจำเป็นต่างๆจะถูกส่งต่อเพื่อไปหล่อเลี้ยงดวงตาโดยอาศัยเส้นลมปราณที่เกี่ยวข้อง เช่น เส้นลมปราณตับที่โคจรผ่านตา ถ้าพลังชี่ของตับติดขัด หรือเลือดของตับพร่อง จะทำให้สายตาพร่ามัว เส้นลมปราณไตเกี่ยวข้องกับกระจกตาและจอประสาทตา และ เส้นลมปราณม้ามมีผลต่อการลำเลียงสารอาหารไปบำรุงดวงตาเป็นต้น
การสูญเสียการมองเห็นในมุมมองการแพทย์แผนจีน
ภาวะสูญเสียการมองเห็น หรือ 目盲สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุในมุมมองของการแพทย์แผนจีน เช่น กลุ่มอาการเลือดของตับพร่อง ผู้ป่วยมักมีอาการสายตาพร่ามัว มองไม่ชัดตอนกลางคืน ตาแห้ง เคืองตา โดยมีสาเหตุมาจากการใช้สายตามากเกินไป เลือดพร่องจากอ่อนเพลีย หรือเลือดน้อยจากปัจจัยต่างๆ เช่นการได้รับอุบัติเหตุที่ทำให้เสียเลือดมาก
ไฟของตับลอยขึ้นก่อกวนทวารสมองมีอาการหลักคือตามัวเป็นช่วงๆ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หน้าแดง ความดันสูง มักมีสาเหตุจาก อารมณ์เครียด หรือ โมโหทำให้หยางของตับลอยขึ้นก่อกวนทวารสมอง
ไตอินพร่อง มักมีอาการ ตามัว ตาแห้ง ตาล้า มองไม่ชัดตอนกลางคืน ปวดหลัง อ่อนเพลีย สาเหตุมาจากการใช้สายตาหรือใช้ความคิดหนักเกินไป มักเป็นได้เมื่อมีอายุมากขึ้น
ไตหยางพร่อง มักมีอาการคือตามัว ตาฝ้าขาว หนาวง่าย เหนื่อยง่าย มือเท้าเย็น มักเกิดจากพลังหยางลดลงทำให้การไหลเวียนของชี่และเลือดเลือดบกพร่อง
เลือดคั่งอุดกั้น จะมีอาการตาพร่ามัวแบบฉับพลัน ตาแดง มีจุดดำคล้ำบริเวณหลอดเลือดใต้ลิ้น มักมีสาเหตุจาก การเลือดไหลของเลือดติดขัด ทำให้มีเลือดคั่งที่บริเวณตา
การฝังเข็มรักษาภาวะสูญเสียการมองเห็นจากหลอดเลือดสมองในการแพทย์แผนจีน
ในการรักษาด้วยการฝังเข็มรักษาอาการ จากหลอดเลือดสมอง นอกจากจะต้องใช้จุดบริเวณศีรษะเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเนื้อสมองที่เสียหายไปแล้วยังจะต้องเลือดกใช้จุดบริเวณดวงตาเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จุดหลักที่ใช้รักษาอาการสายตา ได้แก่ 睛明 (BL1, Jing Ming) 攒竹 (BL2, Cuan Zhu) 太冲 (LV3, Tai Chong) 光明 (GB37, Guang Ming) 风池 (GB20, Feng chi)เป็นต้น
การนวดกดจุดเพื่อเสริมการรักษา
นอกจากการฝังเข็มแล้วจุดที่สามารถนวดด้วยตัวเองเพื่อช่วยบำรุงสายตาและเสริมการรักษาหลังการฝังเข็ม ได้แก่攒竹 (BL2, Cuan Zhu)
太阳 (Tai Yang) 四白 (ST2, Si Bai) เป็นต้น โดยใช้วิธีการกดค้างประมาณ20วินาทีจึงปล่อยออก ทำซ้ำจุดละ 5-10 ครั้ง วันละ 2 รอบ
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการเข้ารับการฝังเข็มรักษาดวงตา
การฝังเข็มบริเวณรอบดวงตา เช่น จุด 睛明 (BL1, Jing Ming) และ攒竹 (BL2, Cuan Zhu) อาจทำให้เกิดรอยช้ำได้ เนื่องจากเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังแตก รอยช้ำที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกจุดฝังเข็มซึ่งไม่มีอันตรายต่ออวัยวะ และรอยช้ำนี้จะค่อยๆ จางลงเองภายใน 7-14 วัน ซึ่งอาการช้ำจากการฝังเข็มไม่มีผลต่อการมองเห็นหรือสุขภาพดวงตา และ สามารถมารักษาต่อเนื่องได้ ไม่จำเป็นต้องรอจนรอยช้ำหายสนิท
หากเกิดอาการช้ำขึ้นวิธีช่วยให้รอยช้ำหายเร็วขึ้นได้แก่
1. ประคบเย็นภายใน 24 ชั่วโมงแรก (เช่น ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบเบาๆ) เพื่อลดอาการบวมและเลือดออกใต้ผิวหนัง
2. ประคบอุ่นหลังจาก 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและลดรอยช้ำ
3. หลีกเลี่ยงการกดหรือถูบริเวณที่ฝังเข็ม เพื่อป้องกันอาการช้ำเพิ่ม
กรณีศึกษา
ชื่อ: นาง ละXX เพศ: หญิง อายุ: 65 ปี HN: 418xxx
เข้ารับการรักษาครั้งแรก: 24 ธันวาคม 2567
อาการหลัก
ตาทั้งสองข้างมองไม่เห็นเป็นเวลา 20 วัน
ประวัติปัจจุบัน
20วันก่อนมีอาการตามองไม่เห็นภาพทั้ง2ข้าง เฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อพบแพทย์แผนปัจจุบันได้ทำการ MRI สมอง พบว่าเส้นเลือดสมองตีบ ได้รับยาละลายลิ่มเลือด แล้วการรมองเห็นยังไม่กลับมา จึงได้เข้าปรึกษาด้วยแพทย์แผนจีน การเคลื่อนไหว การสื่อสารและ ความจำปกติ มีอาการเบื่ออาหาร นอนหลับยาก ตื่นบ่อย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ร่วมด้วย
ตรวจร่างกาย
การตอบสนองม่านตา: ปกติ แรงกล้ามเนื้อ: ปกติ ไม่พบPathological Reflex
ลิ้น: แดงอ่อน มีจุดคล้ำใต้ลิ้น ชีพจร: ตึง
การวินิจฉัย
จ้งเฟิง ตาบอด(กลุ่มอาการชี่และเลือดคั่ง)
การรักษา
ทำการรักษาแบบวันเว้นวันด้วยการฝังเข็มและสมุนไพรจีน
ความเปลี่ยนแปลงหลังการรักษา
- **30 ธ.ค. 67**: การมองเห็นของตาขวาเริ่มกลับมา สามารถเห็นวัตถุเป็นเงาลาง ๆ แต่ไม่สามารถแยกสีได้ ตาซ้ายยังมองไม่เห็น
- **6 ม.ค. 68**: มีภาวะนอนไม่หลับและความเครียด ทำให้การมองเห็นทั้งสองข้างลดลง
- **14 ม.ค. 68**: การมองเห็นของตาขวาดีขึ้น สามารถเดินหลบประตูและกำแพงได้บ้าง แต่ยังไม่สามารถเห็นสีได้
- **19 ม.ค. 68**: การมองเห็นของตาขวาเริ่มดีขึ้น เห็นเงาลาง ๆ ได้
- **21 ม.ค. 68**: ลานสายตาของตาขวากว้างขึ้น สามารถมองออกด้านข้างได้มากขึ้น
- **5 ก.พ. 68**: การมองเห็นของตาซ้ายเริ่มดีขึ้น สามารถมองเห็นตัวเลขและตัวหนังสือตัวใหญ่ได้บ้าง แต่ยังแยกสีไม่ได้
สรุปผลการรักษา
- ผู้ป่วยมีพัฒนาการด้านการมองเห็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยตาขวามีการฟื้นตัวเร็วกว่าตาซ้าย
- ภาวะอารมณ์และการนอนมีผลต่อการฟื้นตัวของผู้ป่วย ควรให้การดูแลเรื่องความเครียดร่วมด้วย
- ควรเฝ้าระวังและติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง
_______________________________________
บทความโดย
ดร.พจ. พีระพงศ์ เลิศนิมิตพันธ์ (หมอจีน เฉิน เจียง เฉิง)
陈江成 中医师
TCM. Dr. Peeraphong Lertnimitphun (Chen Jiang Cheng)
26 ส.ค. 2568
26 ส.ค. 2568
2 ต.ค. 2568