Last updated: 22 ก.ค. 2565 | 11538 จำนวนผู้เข้าชม |
ใครเป็นไขมันพอกตับบ้างยกมือขึ้น !!! หลายคนถามว่าไขมันพอกตับคืออะไร ? และอันตรายหรือไม่ ทำไมเดี๋ยวนี้มีคนเป็นโรคนี้มากขึ้น แล้วจะป้องกันอย่างไรไม่ให้เป็นโรคนี้
ในปัจจุบันอาหารมีความหลากหลาย การสังสรรค์เข้าสังคมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ปริมาณการบริโภคที่สูงขึ้นย่อมส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเราอย่างแน่นอน มีสำนวนกล่าวไว้ว่า
"กินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน"
ในความเป็นจริงการดำรงชีวิตนั้นหลายคน "อยู่เพื่อกิน"
โรคไขมันพอกตับ คือโรคที่เกิดจากการสะสมไขมันมากเกินไปบริเวณตับ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพยาธิสภาพของตับ ซึ่งอัตราการเกิดโรคในปัจจุบันนับวันยิ่งสูงมากขึ้น และพบในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยลง องค์ประกอบของตับโดยปกตินั้นก็มีไขมันเป็นองค์ประกอบอยู่เล็กน้อย เช่น ไตรกลีเซอร์ไรด์ คลอเรสเตอรอล ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน3-5%ของน้ำหนักตับ แต่ถ้าหากว่าตับมีการสะสมของไขมันมากเกินไป มากกว่า 5 %ของน้ำหนักตับ
อาการทางคลินิก
อาการแสดงทางคลินิก โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักไม่มีอาการแสดงชัดเจน หรือ อาจพบอาการไม่สบายในบริเวณตับ (ใต้ชายโครงขวา) มีอาการกดเจ็บเล็กน้อยบริเวณตับ ความอยากรับประทานอาหารลดน้อยลง คลื่นไส้เล็กน้อย อ่อนเพลีย เป็นต้น
สาเหตุของโรคไขมันพอกตับ
สาเหตุของโรคไขมันพอกตับสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ และไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์
1. ไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ (alcoholic fatty liver disease) ซึ่งสาเหตุหลักของโรคไขมันพอกตับชนิดนี้มีสาเหตุที่ชัดเจนคือผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ความรุนแรงของโรคจะขึ้นกับชนิดของแอลกอฮอล์ปริมาณการดื่ม และระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์
2. ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (non-alcoholic fatty liver disease) ซึ่งสาเหตุหลักของโรคไขมันพอกตับชนิดนี้เกิดจากสาเหตุอื่นๆนอกเหนือจากแอลกอฮอล์เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
การดำเนินโรคไขมันพอกตับ
โรคไขมันพอกตับมีกลไกการดำเนินโรคดังต่อไปนี้
1. ระยะเริ่มต้น เริ่มจากการสะสมของไขมันในเนื้อตับมากกว่า 5% ของน้ำหนักตับ แต่ยังไม่พบการอักเสบและผังผืดเกิดขึ้นบริเวณตับ
2. ระยะที่ 2 เมื่อเกิดการสะสมของไขมันมากขึ้นอาจทำให้เกิดอาการอักเสบของตับ หากไม่ดูแลรักษาอาจทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง
3. ระยะที่ 3 เกิดการอักเสบมากขึ้น หรือรุนแรงขึ้นทำให้เกิดผังผืดที่ตับ เซลล์ตับจะค่อยๆถูกทำลาย
4. ระยะที่ 4 เซลล์ตับเป็นผังผืดมากขึ้น ทำให้ตับไม่สามารถทำงานได้อยากปกติ อาจพัฒนาทำให้เกิดโรคตับแข็ง และมะเร็งตับได้ต่อไปตามความรุนแรงของโรค
การดูแลรักษาเบื้องต้น
การรักษาโรคไขมันพอกตับโดยเบื้องต้น ดังต่อไปนี้
1. เมื่อผู้ป่วยทราบว่าเป็นโรคไขมันพอกตับ อันดับแรกควรสังเกตตนเองว่าท่านดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ ถ้าเป็นผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ควรค่อยๆลดปริมาณการดื่ม และงดการดื่มแอลกอฮอล์ในที่สุด
2. ควบคุมการรับประทานอาหาร งด หรือ ลด การรับประทานอาหารประเภทมัน ทอด และแป้งเยอะ เช่น หมูทอด ไก่ทอด หมูสามชั้น ข้าวขาว ขนมปังขาว เป็นต้น
3. ดื่มน้ำอุ่นให้เพียงพอ วันละ 2-3 ลิตร
4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผู้ที่เป็นไขมันพอกตับแนะนำให้ออกกำลังกาย 40-60 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
การรักษาด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน
จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น โรคไขมันพอกตับจัดอยู่ในโรคระบบทางเดินอาหาร ซึ่งในศาสตร์การแพทย์แผนจีนนั้น โรคนี้มีความเกี่ยวข้องกับอวัยวะม้าม กระเพาะอาหาร และตับอย่างใกล้ชิด
ศาสตร์การแพทย์แผนจีนได้แบ่งประเภทของโรคไขมันพอกตับได้ทั้ง ภาวะแกร่ง และ ภาวะพร่องซึ่งแบ่งได้หลายประเภท เช่น
- ม้ามและกระเพาะอาหารอ่อนแอ
- ชี่ตับติดขัด
- ความชื้นสะสม (อ่าน-เมื่อร่างกายมีเสมหะและความชื้นสะสมมากเกินไป)
- เลือดคั่ง
โดยสามารถใช้การรับประทานยาจีนปรับสมดุลการทำงานของตับ ลดไขมันในเลือด ชะลอการพัฒนาไปของโรค ร่วมการการดูแลตนเอง
ทั้งนี้การรักษาด้วยยาจีนจะต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์แผนจีนอย่างละเอียดก่อนการรักษาเท่านั้น เพื่อการวินิจฉัยและผลการรักษาได้อย่างมีประสิทธิผลมากที่สุด
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
1. ข้อแนะนำในการใช้ยาสมุนไพรจีน
2. "อาหารแสลง" ที่ควรงดระหว่างช่วงทานยาจีน
3. การรักษาด้วยยาจีน
4. กินยาจีนอย่างไรให้ได้ผลดี
บทความโดย แพทย์จีน ศิริขวัญ ก้าวสัมพันธ์ (สวี่ ถาน ลี่)
แพทย์จีนประจำคลินิกหัวเฉียวแพทย์แผนจีน สาขาศรีราชา
24 เม.ย 2566
12 พ.ค. 2566
12 เม.ย 2566
11 เม.ย 2566